วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เพื่อน

** คน ที่เป็น เพื่อน **
ไม่จำเป็นต้องจบการศึกษาระดับเดียวกัน
ไม่จำเป็นต้องมีฐานะเท่าเทียมกัน
ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งหน้าที่การงานเท่าเทียมกัน
ถ้าคิดแบบนั้น
คุณจะไม่มีเพื่อนแท้ดีๆเลยสักคน
......................................
..................................
.............เพื่อนจะ............
คอยเตือน..........ยามเพื่อนพลั้ง
คอยฟัง..........ยามเพื่อนขอ
คอยรอ..........ยามเพื่อนสาย
คอยพาย...........ยามเพื่อนพัก
คอยทัก..........ยามเพื่อนทุกข์
คอยปลุก..........ยามเพื่อนท้อ
คอยง้อ..........ยามเพื่อนงอน
คอยสอน..........ยามเพื่อนผิด
คอยสะกิด..........ยามเพื่อนเผลอ
คอยเจอ..........ยามเพื่อนหา
คอยลา..........ยามเพื่อนกลับ
คอยปรับ..........ยามเพื่อนเปลี่ยน
คอยเรียน..........ยามเพื่อนเที่ยว
คอยเคี่ยว..........ยามเพื่อนเล่น
คอยเย็น..........ยามเพื่อนร้อน
คอยหอน..........ยามเพื่อนเห่า
คอยเฝ้า..........ยามเพื่อนฟุบ
คอยอุบ..........ยามเพื่อนปิด
คอยคิด..........ยามเพื่อนถาม
คอยปราม..........ยามเพื่อนหลง
คอยปลง..........ยามเพื่อนแกล้ง
คอยแบ่ง..........ยามเพื่อนหมด
คอยอด..........ยามเพื่อนทาน
คอยคาน..........ยามเพื่อนล้ม
คอยชม..........ยามเพื่อนชนะ
คอยสละ..........ยามเพื่อนชอบ
..........." นี่ล่ะเพื่อน ".................

วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ทีเด็ดของแม่



นายวิชัยได้เชิญคุณแม่ของเขา
มาทานอาหารเย็นที่อาพาร์ตเมนที่เขาอยู่

คุณแม่ก็อดที่จะเหลียวมองสาวสวยซึ่งเป็นรูมเมต

(roommate = เพื่อนร่วมอาพาร์ตเมน) ของลูกชายไม่ได้

คุณแม่อดสงสัยความสัมพันธ์ระหว่างลูกชายกับสาวสวย

ซึ่งเป็นรูมแมนคนนี้ไม่ได้
สิ่งนี้ยิ่งทำให้เธออยากรู้อยากเห็นมากขึ้น

ในช่วงที่กำลังรับประทานอาหารเย็นนั้น

คุณแม่สังเกตุเห็นสายตาที่มองกันของคนทั้งคู่

ทันใดนั้นเจ้าลูกชายก็บอกว่า

" ผมรู้นะว่าคุณแม่กำลังคิดอะไรอยู่ "

วิชัยหยุดพักครู่นึงยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า

"ผมยืนยันได้อย่างแน่นอนว่าผมกับลินดานั้นเป็นแค่รูมเมต"
สัปดาห์ต่อมา ลินดา บอกกับวิชัยว่า

"ตั้งแต่คุณแม่คุณมาทานอาหารเย็นเมื่อวันก่อน

ฉันก็หาตะกวักทับพีที่แสนสวยของฉันไม่เจอ"

ลินดาพูดต่อว่า

“ฉันไม่คิดว่าคุณแม่ของคุณเอามันไปหรอกนะคะ หรือว่าคุณว่าไงคะ”

วิชัยตอบ

“ผมสงสัยนะ แต่ยังไงผมจะเขียนจดหมายไปถามคุณแม่ดูนะครับ”

วิชัยหาเวลาว่าง นั่งลงแล้วเริ่มเขียนจดหมาย



.........................................................
เรียน คุณแม่สุดที่รัก

ผมไม่ได้ว่า ว่าคุณแม่เอาตะกวักทับพีไปจากบ้านผม

แต่ผมก็ไม่ได้ว่า ว่าคุณแม่ไม่ได้เอามันไป

แต่ความจริงมีอยู่ว่าตะกวักอันหนึ่งหายไป

ตั้งแต่วันที่คุณแม่มาทานข้าวเย็นที่บ้านของผม

ขอแสดงความนับถือ วิชัย

............................................



หลายวันต่อมา

วิชัยก็ได้รับจดหมายตอบจากคุณแม่ของเขา

ซึ่งเขียนว่า


...............................................

ถึงลูกชายสุดที่รักของแม่

แม่ไม่ได้พูดว่าลูกมีอะไรกับลินดา

แต่แม่ก็ไม่ได้พูดว่าลูกไม่ได้มีอะไรกับลินดา

แต่ความจริงมีอยู่ว่า ถ้าลินดานอนที่ห้องของเธอเอง

เธอคงจะเจอเจ้าตะกวักทับพีไปตั้งนานแล้ว

รักมาก แม่

.................................................


หลังจากอ่านเรื่องนี้แล้วคุณคิดว่าไง

ถ้ายังไม่เข้าใจอธิบายได้ว่า

เพราะว่าเจ้าทับพีอยู่บนเตียงนอน

หรือใต้ผ้าห่มของลินดานั่นเองแหละ
เป็นไงล่ะที่เด็ดคุณแม่...เจ๋ง..จริงๆ


วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2552

จากคำบอกเล่าของผู้ชาย..



ผมเชื่อว่าผู้ชายจำนวนไม่น้อย (ร้อยละ 90) ก็คิดเช่นนี้

ก็คงไม่มี “อะไรถูก -อะไรผิด” เสมอไป

และทำไมความคิดของผู้ชายถึงต่างจากคุณ

แต่อยากให้คุณเข้าใจว่าธรรมชาติของผู้ชายเป็นอย่างไร

...........................................

สิ่งที่ผู้ชายสนใจในตัวผู้หญิงแบ่งออกเป็น 3 เรื่องใหญ่ ๆ คือ

(1) กามารมณ์

(2) ความรัก

(3) ความนับถือ

ทั้ง 3 ส่วน “แยกจากกัน” แต่สัมพันธ์กัน

ผู้ชายจะตัดสินใจเลือกผู้หญิงที่มีคุณสมบัติครบทั้งสามส่วนมาเป็นภรรยา

(**แต่ละส่วนอาจต่างกันไปสำหรับผู้ชายแต่ละคน)

ส่วนผู้หญิงที่มีคุณสมบัติไม่ครบจะเป็นแค่ทางผ่าน

.............................................

1. สิ่งแรกที่ผู้ชายสนใจ คือ “กามารมณ์” (รูป-เสียง-กลิ่น-รส-สัมผัส)

อันนี้เป็นด่านแรกที่ผู้ชายสนใจ ผู้ชายทุกคนจะเริ่มที่จุดนี้ลองสังเกตดู

ก่อนอื่นผู้ชายจะสนใจผู้หญิงที่สวย น่ารักรูปร่างหน้าตาดี ผิวพรรณดี แต่งตัวดี

(เรื่องของรูปทั้งหลายที่ผ่านทางตา)

พูดจาไพเราะ เสียงหวาน เสียงออดอ้อน (เรื่องของเสียงทั้งหลายที่ผ่านทางหู)

กลิ่นกายหอมยวนใจ (เรื่องของกลิ่นที่ผ่านทางจมูก)

ความสุขจากการกอดจูบ มีเพศสัมพันธ์(เรื่องของสัมผัสทั้งหลายที่ผ่านทางกาย)

ที่ผู้ชายพูดกันเล่น ๆ ว่า “ขาว สวย หมวย sex” นั่นแหละ

(**ส่วน ทางกาย 40% ทางตา 40% ทางหู 15% ทางจมูก 5%)

สำหรับเรื่อง sex นี่ถึงจะพิสูจน์ไม่ได้แต่ก็จินตนาการได้และเป็น “แรงจูงใจ”

ที่ทำให้ผู้ชายทั้งหลายตามตื้อตามจีบคุณอยู่ทุกวันนี้

(ตราบใดที่ 40% นี้ยังไม่ประสบความสำเร็จ
แรงจูงใจจะยังคงมีต่อไปไม่ละความพยายาม...)

อย่างไรก็ดี แม้กามารมณ์จะเป็น “อันดับแรก” ที่ผู้ชายสนใจแต่กลับเป็น “อันดับสุดท้าย”

ในการตัดสินใจเลือกผู้หญิงที่จะขอแต่งงาน

!!! คุณผู้หญิงเคยสังเกตไหมมีผู้ชายจำนวนไม่น้อยที่ไปเที่ยวผู้หญิง
แต่ไม่เคยมีสักคนที่คิดจะจีบหรือขอหญิงที่เที่ยวมาเป็นภรรยา
(ยกเว้นจีบเพื่อกินฟรี)

ทั้งๆ ที่ผู้หญิงเหล่านี้เจนจัดในการสนองกามารมณ์ของผู้ชาย

แถมหากผู้ชายรู้ว่าแฟนของตนผ่านเรื่องพรรค์นี้มากลับเป็นเรื่องใหญ่!!!

หรือคงจะเห็นได้บ่อยๆ ที่เป็นแฟนกันแล้วผู้หญิงถูกทิ้งหลังจากเสียตัวให้ฝ่ายชาย

(อาจทิ้งทันทีหรือรอสักระยะจนเบื่อ)

เพราะฉะนั้นผู้หญิงคนไหนที่คิดว่าตัวเอง “ไม่สวย” ไม่ต้องเสียใจเลยครับ

การที่ผู้ชายสักคนจะมาชอบคุณอาจต้องอาศัยเวลาสักหน่อย
กว่าจะมองเห็นคุณสมบัติในด้านอื่น ๆ

แต่ถ้าเขารักคุณด้วยเหตุผลอื่นที่เหนือกว่าคุณกลับมีโอกาสสูงที่จะได้เป็น

“ภรรยา” ไม่ใช่ “คู่นอน”และไม่ต้องถูกทอดทิ้งในภายหลัง

ความเข้าใจผิดประการหนึ่งของผู้หญิงสมัยนี้คือความคิดที่จะผูกมัดผู้ชายด้วย “sex”

กลัวเขาจะทิ้งหากไม่ยอมผมกล้าพูดได้เต็มปากชนิด 100% เลยว่า

“ถ้าผู้ชายคนไหนบอกว่าจะทิ้งคุณไปเพราะเหตุว่าคุณไม่ยอมมีอะไรกับเขา

ผู้ชายคนนั้นกำลังหลอกคุณและเขาหวังเฉพาะเรือนร่างของคุณ

โดยไม่ได้รักคุณเลย!!!!จริงอยู่กามารมณ์เป็นสิ่งที่ผู้ชายต้องการ

แต่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถผูกมัดผู้ชายไว้ได้

เขาจะมีคุณคนเดียวหรือมีผู้หญิงอื่นอีกเท่าไหร่ก็ได้เพราะไม่เกี่ยวกัน

(ชอบกินส้ม ไม่ได้หมายความว่าจะไม่กินทุเรียน น้อยหน่า ฯลฯ)

กามารมณ์เป็นสิ่งที่จากไปได้เร็วกว่าคุณสมบัติอื่น ๆ (มาก่อนก็ไปก่อน)

คนที่สวยกว่ายังมี อายุมากขึ้น ก็สู้สาว ๆ ไม่ได้แล้วหรือพอเคยชินเข้าก็เบื่อ

นอกจากนี้ “แรงจูงใจที่ได้รับการตอบสนองแล้วจะไม่สามารถใช้จูงใจได้อีก”

ดังนั้น ถ้าผู้หญิงรู้จักใช้แรงจูงใจทาง sex ที่ยังไม่ได้รับการตอบสนองของผู้ชาย

ให้เป็นประโยชน์ดึงให้ผู้ชายผ่านระยะเวลาจนมีพัฒนาการทางด้าน

(2) ความรักและ (3) ความนับถือ เรื่อยไปจนถึงการแต่งงาน

จึงจะนับว่าเป็นผู้หญิงฉลาดไม่ต้องเสียคนรักไปในภายหลัง

(ถ้าจะเสียก็เสียผู้ชายเลว ๆ ที่ไม่ได้รักเราจริงแต่ไม่ต้องเสียตัวเสียใจ

เมื่อวันนึงเจอผู้ชายดี ๆ ที่รักเราจริงและเราต้องเป็นแม่ของลูกเขา)

.................................................

2. สิ่งต่อไปที่ผู้ชายต้องการจากผู้หญิงคือ “ความรัก”

ความรัก หมายถึง การเข้าอกเข้าใจ ความเป็นห่วงเป็นใยเอื้ออาทรกัน

การพูดคุยกันรู้เรื่อง ฯลฯที่เป็นเรื่องของจิตใจล้วนๆ

แบบเดียวกับที่ผู้หญิงรักผู้ชายนั่นแหละ

ไม่ต่างกันความรักจะมีอิทธิพลในระดับสูงกว่ากามารมณ์ที่กล่าวถึงในตอนต้น

แต่สำหรับผู้ชาย การที่จะพัฒนาความสัมพันธ์จนกลายเป็นความรักจะช้ากว่าผู้หญิง

เพราะมัวไปหลงด้านกามารมณ์ซะมากกว่า

(ที่บอกว่ารักก็อิงกับกามารมณ์ไม่ใช่รักแบบที่ผู้หญิงคิด)

จนเมื่อเวลาผ่านไป ผ่านอุปสรรคความยากลำบากต่างๆมีการพิสูจน์ใจกัน

มีการมุ่งมั่นสร้างหลักฐานเก็บเงินแต่งงาน

สร้างอนาคตพิสูจน์ตัวเองให้พ่อ-แม่ฝ่ายหญิงยอมรับ

จึงเกิดเป็นความรักผู้หญิงสมัยนี้ชอบเสียท่าผู้ชายก่อนที่ผู้ชายจะเกิดความรักจริงๆ

จึงต้องเสียใจที่ถูกทิ้งที่จริงแล้วคนสมัยก่อนเขามีกุศโลบายให้ผู้หญิงรักนวลสงวนตัว

ให้ผู้ชายอดทนทำงานเก็บเงินมาสู่ขอ ก็เพื่อพัฒนาตรงจุดนี้เพราะมันต้องใช้เวลา

และผ่านความยากลำบากมาจึงจะเกิดความรักแบบนี้ได้(สำหรับผู้ชาย)

ก็ไปหาว่าหัวโบราณบ้าง ไม่ทันสมัยบ้างที่จริงคนสมัยนี้ยิ่งเรียนก็ยิ่งโง่

แล้วก็มานั่งเสียใจไม่รู้ว่าชีวิตทำไมมีแต่ปัญหา

อีกเรื่องที่ไม่ค่อยยุติธรรมคือส่วนใหญ่ผู้ชายที่รักผู้หญิงจริงชนิดหมดหัวใจ

กลับไม่ค่อยกล้าที่จะบอกหรือแสดงว่ารักส่วนผู้ชายที่ปากหวานบอกรัก

กลับเป็นผู้ชายประเภทเจ้าชู้ที่ผ่านผู้หญิงมามาก(และจะผ่านต่อไป)

สาเหตุก็คือผู้ชายที่รักเดียวใจเดียวจะไม่ค่อยสันทัดกับการจีบผู้หญิง

และไม่ค่อยมีประสบการณ์ทางด้านนี้กลัวว่าหากทำอะไรผิดพลาด

อาจสูญเสียคนที่ตนรักไปในขณะที่ผู้ชายเจ้าชู้จะมีประสบการณ์มามากในการจีบผู้หญิง

รู้ว่าจะต้องพูดอย่างไรและถึงจีบไม่สำเร็จก็ไม่กลัวเพราะไม่ได้รักอะไรมากมาย..

แต่เชื่อไหม?ผู้หญิงส่วนใหญ่กลับมองไม่ออกว่าผู้ชายคนไหนที่รักจริง

(รำคาญด้วยซ้ำ)ชอบแต่จะฟัง “คำพูด” แค่บอกว่ารักก็เชื่อสนิท...เสร็จเสือผู้หญิง!

.......................................................
3. สิ่งต่อไปคือ “ความนับถือ” หรือ “ความดี”

ผู้ชายต้องการให้ผู้หญิงวางตัวในลักษณะเป็นที่น่านับถือเกรงใจ

พูดง่ายๆ คือ “เป็นคนดี วางตัวเหมาะสม”

ผู้ชายส่วนใหญ่จะชอบผู้หญิงที่อ่อนหวานเรียบร้อย รักนวลสงวนตัวให้เกียรติ

และมีความซื่อสัตย์ต่อสามี และมีวุฒิภาวะทางอารมณ์สูง

(ไม่จู้จี้ขี้บ่น ไม่หึงหวงแบบไร้เหตุผล ไม่ทำตัวหวาดระแวงเป็นนักสืบ ฯลฯ)

อย่างเช่น ผู้ชายแอบไปมีเมียน้อยหรือเที่ยวผู้หญิง

(อย่างที่กล่าวข้างต้นกามอารมณ์กับความรักสำหรับผู้ชายเป็นคนละส่วนกัน

ผู้ชายทุกคนชอบดูรูปโป๊แต่ไม่เคยจำหน้าผู้หญิงในรูปได้)

แต่จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่วางตัวเหนือกว่าทางด้านวุฒิภาวะลองผู้หญิงนิ่งๆ รู้ทัน

แต่ไม่เอะอะโวยวายดูสิขี้คร้านผู้ชายจะเกรงใจไม่กล้าทำอีกเรื่องความดี

หรือความนับถือนี่เป็นสิ่งที่สำคัญ “มากที่สุด”

ที่ผู้ชายอยากได้หญิงบริสุทธิ์มาเป็นภรรยาก็เพราะมันมีส่วนสัมพันธ์กับความดี

ม่ใช่เห็นแก่ตัวอย่างที่ผู้หญิงคิดกัน

(แต่ทางกามารมณ์ก็มีอยากได้ของใหม่ ๆ สะอาด กระชับ ได้อารมณ์

และเป็นของเราคนเดียวไม่ใช้ร่วมกับใคร)อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่าไม่ใช่ผู้หญิงใจง่าย

หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม

(ก็ขนาดพ่อแม่รักจะตาย ยังขาดความยับยั้งชั่งใจแอบหนีไปมีอะไรกับใครได้

จะมั่นใจได้ยังไงว่าต่อไปจะไม่แอบไปมีชู้) ผู้ชายที่หลอกฟันหญิงบริสุทธิ์แล้วทิ้ง

ก็เพราะเขาไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนดีที่น่านับถืออีกต่อไป

(ผู้หญิงดีๆ ที่เป็นหม้ายเพราะสามีตายยังน่าขอแต่งงานด้วยมากกว่าผู้หญิงโสด

ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม)อย่างไรก็ตามผู้หญิงคนไหนที่ชีวิตผิดพลาดไปแล้ว

" ขอให้หยุดแค่นั้นอย่าให้เกิดขึ้นอีก "

(ถ้าคุณเป็นคนที่ดีจริง ๆ เขาจะอภัยให้คุณแม้จะเสียใจลึก ๆ)

คุณลองดูคู่แต่งงานที่อยู่กินกันมานาน

ดูคุณพ่อคุณแม่คุณก็ได้ทุกวันนี้เขายังหวานแหววแบบหนุ่มสาวไหม

เมื่อเวลาผ่านไปความสำคัญทางกามารมณ์ลดลง

ก็จะมี “ความรัก”และ "ความนับถือ" หรือ “ความดี”นี่แหละที่จะทำให้อยู่กันไปได้ตลอด

ที่เขียนมาทั้งหมดก็หวังจะให้เป็นวิทยาทานแก่คุณผู้หญิงทั้งหลายนะครับ

(คุณผู้หญิงคงจะอ่านไปด่าไที่ผู้ชายมีความคิดสกปรกเห็นแก่ตัวแบบนี้)

สำหรับตัวผมเองเป็นผู้ชาย อยู่ในสังคมของผู้ชายย่อมเข้าใจนิสัยของผู้ชายดี

ก็อยากให้ผู้หญิง (ที่พอจะรับฟังในสิ่งที่ผมพูด)

มีความสุขสมหวังไม่ต้องเสียอกเสียใจและพบกับปัญหาชีวิตคู่ (แบบว่าเห็นมามาก)

......................................................


วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552

กาแฟใส่เกลือ



เขาเจอเธอในงานเลี้ยงแห่งหนึ่งเธอดูโดดเด่นมาก

และมีคนมากมายรุมล้อมเธอ....

ในขณะที่เขาดูเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งไม่มีใครใส่ใจเขาเลย.....

และหลังงานเลี้ยงเลิกเขาได้มีโอกาสชวนเธอไปทานกาแฟต่อ

เธอประหลาดใจมากแต่ท่าทีที่สุภาพของเขา

ทำให้เธอตอบตกลง....

พวกเขานั่งในร้านกาแฟดีๆแห่งหนึ่ง

เขาดูประหม่าจนพูดอะไรไม่ออกเธอรู้สึกอึดอัดมาก

จนคิดในใจว่าได้โปรดให้ฉันกลับบ้านเหอะแต่ทันใดนั้น....

เขาถามบ๋อยว่า ขอเกลือป่นได้ไหม..??

" อยากเอามาใส่ในกาแฟ "

ทุกคนในร้านหันมาจ้องเขาด้วยความประหลาดใจ

เขาอายจนต้องก้มหน้า....

แต่ก็ยังเติมเกลือลงในกาแฟ

และก็ดื่มมันเสียด้วย...???

ทำให้เธอต้องถามเขาอย่างอดไม่ได้ว่า....

ทำไมชอบกาแฟรสชาติแบบนี้

เขาตอบว่า " เมื่อเขายังเด็กบ้านเกิดเขาอยู่ริมทะเล

เขาเป็นลูกน้ำเค็มเล่นกับทะเลทุกวัน

เคยชินกับรสเค็มของเกลือเหมือนกับรสชาติของกาแฟเค็ม

เพราะฉะนั้นเมื่อทุกครั้งที่เขาได้ลิ้มรสกาแฟเค็มๆ

เขาก็จะคิดถึงวัยเด็กคิดถึงบ้านเกิด

เขาคิดถึงพ่อแม่ทียังอยู่ที่นั่นเขาเล่าไปก็น้ำตาไหลอาบแก้ม

เธอรู้สึกสงสารเขาจับใจ.....

นั่นเป็นความในใจลึกๆของเขาผู้ชายคนนึ่ง

ที่กล้าบอกว่าเขาคิดถึงบ้าน

แสดงว่าเขาต้องรักครอบครัวอย่างมาก

และมีความรับผิดชอบต่อครอบครัว
ดังนั้นเธอก็เริ่มประทับใจในตัวเขา

เริ่มชวนเขาคุยเล่าถึงบ้านเกิดของเธอบ้าง

ชีวิตในวัยเด็กครอบครัวของเธอ

เธอกับเขาคุยกันถูกคอมากขึ้นเรื่อยๆ

และจากการเริ่มต้นที่ดี

ทำให้เขากับเธอคืบหน้าความสัมพันธ์ต่อไป

จนในที่สุดเธอก็ค้นพบว่าเขาคือผู้ชายแบบที่เธอต้องการ

อย่างแท้จริงเขาใจกว้าง อ่อนโยน อบอุ่น

เขาเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ

แต่เธอเกือบจะมองข้ามเขาไป!

ต้องขอบคุณกาแฟแก้วนั้น.......

และชีวิตรักที่สวยงามเช่นนี้

ก็เหมือนดังเรื่องทั่วไปเมื่อเธอตกลงใจแต่งงานกับเขา

และก็มีความสุขมาโดยตลอด....

โดยทุกๆครั้งที่เธอชงกาแฟให้กับเขาเธอต้องใส่เกลือ

ลงไปในกาแฟให้ทุกครั้งไป

เธอรู้ว่านี่เป็นกาแฟที่เขาชอบมากที่สุดหลัง

...................................

จากนั้นอีกสี่สิบปีเขาก็จากเธอไป.......

ทิ้งจดหมายไว้ให้เธอฉบับหนึ่งข้างในมีใจความ

" ว่าที่รัก อภัยให้ผมด้วยที่ต้องโกหกคุณชั่วชีวิต

มีเรื่องเดียวเท่านั้นที่ผมโกหกคุณเรื่องกาแฟเค็มนั่น

จำวันแรกที่เรามีนัดกันได้ไหม
ผมประหม่ามากในตอนนั้นจริงๆ

แล้วผมต้องการน้ำตาล

แต่ผมพูดผิดเป็นขอเกลือ

ซึ่งมันยากที่จะกลับคำในตอนนั้น

ผมจึงต้องปล่อยมันไปซึ่งผมไม่คิดว่า

นั่นจะทำให้เราได้เริ่มต้นการพูดคุยกัน

ผมพยายามที่จะสารภาพกับคุณหลายต่อหลายครั้ง

แต่ผมก็ไม่กล้าที่จะสารภาพออกไป

ทำให้ผมสัญญากับตัวเองว่า

จะไม่โกหกอะไรคุณอีกแม้แต่ครั้งเดียว
ตอนนี้ผมจากไปแล้ว

ผมไม่ต้องหวาดกลัวอะไรอีก

ดังนั้นจึงเล่าความจริงในจดหมายฉบับนี้

แท้จริงแล้วผมไม่ได้ชอบทานกาแฟรสเค็มเลย

แม้แต่น้อย มันรสชาติค่อนข้างแย่ทีเดียว

แต่ว่าผมทานมันตลอดทั้งชีวิตตั้งแต่ได้รู้จักคุณ

ผมไม่เคยนึกเสียใจในสิ่งที่ทำเพื่อคุณเลย
การได้พบคุณเป็นความสุขอันยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดชีวิตของผม

ถ้าผมได้มีโอกาสมีชีวิตอีกครั้ง

ผมก็ยังอยากจะได้พบคุณ

และมีคุณเป็นภรรยาผมอีกครั้งเช่นกัน

แม้ว่าผมจะต้องดื่มกาแฟรสเค็มอีกตลอดชีวิตก็ตาม!

น้ำตาของเธอหยดใส่กระดาษจดหมายจนเปียกชุ่ม

และหลังจากนั้น....

หากมีใครถามเธอกาแฟรสเติมเกลือรสชาติเป็นเช่นไร

เธอก็จะตอบเสมอว่า ...."มันหวาน"